ประวัติศาสตร์ และ วิวัฒนาการ ของมอเตอร์ไซค์วิบาก




หากจะให้พูดถึงการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ ที่มีความผาดโผนและมีความสมบุกสมบันในการขับขี่ หลายๆ คนก็คงต้องนึกถึงการแข่งขัน “Motocross” กันอย่างแน่นอน ด้วยการแข่งขันที่สมบุกสมบัน ทำให้มอเตอร์ไซค์ที่ใช้นั้นก็ต้องเป็น “มอเตอร์ไซค์วิบาก” ที่ถูกออกแบบเพื่อขับขี่ในเส้นทางฝุ่น-ดิน-โคลน โดยเฉพาะ






จุดเริ่มต้นของ Motocross
ว่ากันว่า การแข่งขันมอเตอร์ไซค์แบบวิบากครั้งแรกที่ได้มีการจดบันทึกไว้นั้น รู้จักกันในชื่อของ “Scrambles” ในปี 1924 ซึ่งจะถูกเรียกว่าการแข่งขัน Motocross ในเวลาต่อมา โดยการแข่งขันนี้ ถูกจัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ในเมือง Camberley ซึ่งเป็นการแข่งขับขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเส้นทางที่กำหนดให้เร็วที่สุดและแย่งกันเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก โดยเส้นทางแข่งขันส่วนใหญ่นั้น จะเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านพื้นที่ทางการเกษตร เนินเขา ทุ่งโล่ง จนไปถึงเส้นทางลูกรังต่างๆ ตามชนบทของอังกฤษ

ซึ่งในเวลานั้น มอเตอร์ไซค์ อุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงเครื่องแต่งกายที่ผู้แข่งขันใช้นั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการแข่งขันวิบากหรือมาใช้งานในพื้นที่สมบุกสมบันแบบนี้ อย่างมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขัน ก็เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ถูกสร้างเพื่อใช้งานบนถนนทางเรียบเป็นหลักเสียมากกว่าใช้งานในเส้นทางลูกรัง ในส่วนของเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ก็มีน้อยจนแทบจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ว่าได้

ซึ่งการแข่งขันในปี 1924 ในครั้งนั้น นับว่าเป็นรากฐานที่สำคัญและถือได้ว่าเป็นการบุกเบิกสู่การแข่งขัน Motocross ต่างๆ ต่อไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต






หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก และเมื่อสงครามจบลง เทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้ในการสงครามนั้นก็ถูกนำมาผลิตเพื่อใช้สำหรับประชาชนทั่วไปมากมาย ซึ่งรวมไปถึงพาหนะอย่างมอเตอร์ไซค์ด้วยเช่นกัน ที่มีความแข็งแรง และมีสมรรถนะดีขึ้น ส่งผลให้มอเตอร์ไซค์ที่ใช้สำหรับการแข่งขันวิบากนั้นถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และทำให้การแข่งขัน Motocross นั้นได้รับความนิยมขึ้นและมีการจัดการแข่งขันต่างๆ ตามมาในเวลาต่อมา






สู่เครื่องยนต์แบบสองจังหวะ
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 หลายๆ บริษัทผลิตมอเตอร์ไซค์ อาทิ Husqvarna, Jawa และ Greeves นั้นได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์แบบ “สองจังหวะ” ในขนาด 250cc ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญของวงการ Motocross ที่จะส่งผลให้มอเตอร์ไซค์วิบากรุ่นใหม่ๆ นั้นมีน้ำหนักที่เบาขึ้น มีความคล่องตัวที่มากขึ้น ทั้งยังมีการบำรุงรักษา-ซ่อมแซมที่ง่ายและราคาถูกกว่ามอเตอร์ไซค์วิบากรุ่นพี่ที่ใช้มาก่อนหน้านี้ ที่ส่วนใหญ่จะมีเครื่องยนต์แบบ 4 สูบและมีขนาดเครื่องยนต์อยู่ที่ 500cc

นอกจากนี้ ในปี 1957 ก็ได้ถือกำเนิดการแข่งขัน Motocross World Championships ขึ้น ซึ่งในรายการแข่งขันนั้นก็ได้มีการแข่งขันของมอเตอร์ไซค์วิบากในพิกัดเครื่อง 250cc อีกด้วย






การมาถึงของรถค่ายญี่ปุ่น
ในช่วงปลายยุค 60 ถึงต้นยุค 70 ค่ายรถญี่ปุ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Suzuki, Honda, Kawasaki และ Yamaha นั้นได้เริ่มมีการผลิตมอเตอร์ไซค์สำหรับการแข่งขันวิบาก ซึ่งถือว่ามีสมรรถนะที่ดีเทียบเท่ามอเตอร์ไซค์จากทางฝั่งตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็ว กำลังเครื่องยนต์ เทคโนโลยีต่างๆ จนไปถึงรูปลักษณ์ที่สดใสสะดุดตา ที่จะส่งผลให้ความนิยมของมอเตอร์ไซค์วิบากนั้นบูมขึ้นอย่างมาก

โดยหลักฐานที่แสดงถึงความนิยมในรถวิบากจากค่ายญี่ปุ่นนั้น เห็นจากในช่วงยุค 70 ที่นักแข่งส่วนใหญ่ล้วนนิยมใช้รถจากทางค่ายญี่ปุ่นแทบทั้งสิ้น ทั้งยังสามารถคว้าแชมป์มาได้ในหลายๆ การแข่งขันอีกด้วย ยกตัวอย่างการแข่งขัน FIM 500cc World Motocross Championship ที่จัดขึ้นในปี 1979 ที่นักแข่งชื่อ Graham Noyce นั้นได้ใช้มอเตอร์ไซค์วิบากจากค่าย Honda เข้าแข่งขันและได้คว้าแชมป์ในรายการนั้นมาครอง







ยุคทองของ Motocross
ตั้งแต่ช่วงยุค 80 เป็นต้นมา กระแสของมอเตอร์ไซค์วิบากและการแข่งขัน Motocross นั้นบูมและเป็นที่รู้จักกันอย่างเป็นวงกว้างเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากอิทธิพลของสื่อที่มีความเปิดกว้างและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสดการแข่งขันต่างๆ ทางโทรทัศน์ เช่น การแข่งขัน Supercross ซึ่งเป็นการแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากรูปแบบใหม่ ที่เป็นการแข่งขันในสนามดินเทียมแบบปิด ซึ่งถูกสร้างขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จนไปถึงการนำรถมอเตอร์ไซค์วิบากไปเป็นองค์ประกอบในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ






Motocross ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันมอเตอร์ไซค์วิบากและการแข่งขัน Motocross นั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่การแข่งความเร็วไปตามพื้นที่วิบากและสมบุกสมบันเพียงเท่านั้น แต่ Motocross และมอเตอร์ไซค์วิบากนั้นถูกต่อยอดไปเป็นการแข่งขันรูปแบบอื่นๆ จนไปถึงกีฬารูปแบบต่างๆ มากมาย อาทิ
  • Supercross ที่เป็นการแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากแบบสนามปิดอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า
  • Freestyle Motocross ซึ่งเป็นการแข่งขัน Motocross ที่เน้นการกระโดดและลอยอยู่กลางอากาศให้นานที่สุดพร้อมกับโชว์ลีลาต่างๆ ให้กรรมการตัดสิน
  • Supermoto ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ผสมระหว่างการแข่งแบบทางเรียบและทางฝุ่นเข้าด้วยกัน โดยมีสัดส่วนทางเรียบอยู่ 70% ทางฝุ่น 30% ทั้งยังยังมีเนินเล็กๆ สำหรับการกระโดดอีกด้วย

นอกจากนี้ มอเตอร์ไซค์วิบากยังมักถูกนิยมนำไปใช้ใน Extreme Sport หรือ กีฬาเอ็กซ์ตรีม จนไปถึงการแสดงต่างๆ ที่ต้องใช้ความผาดโผนอีกด้วย

และด้วยสมรรถนะที่สมบุกสมบันลุยได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งในสนามทางเรียบ ทางฝุ่นดินโคลน จนไปถึงการโชว์ลีลาการขับขี่ที่หลากหลาย ทำให้มอเตอร์ไซค์วิบากและกีฬา Motocross นั้นสามารถพลิกแพลงได้หลากหลาย ทั้งยังสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ อย่างมากมาย จนเหมือนเป็นพาหนะแห่งความสมบุกสมบันและความผาดโผนไปโดยปริยาย